บทนำ
สวัสดีครับ ขอต้อนรับเข้าสู่การเทรดโดยช้ การวิเคราะห์ทางเทคนิค ซึ่งแตกต่างจากการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานที่มุ่งเน้นกับมูลค่าที่แท้จริงของตราสารทางการเงิน การวิเคราะห์ทางเทคนิคจะมุ่งเน้นไปที่การเคลื่อนไหวของราคา ในคอร์สนี้เราจะพยายามที่จะเข้าใจถึงอารมณ์การเข้าถึงตลาดโดยการมองไปที่ตลาด ไม่ใช่ที่ส่วนองค์ประกอบของมันความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการวิเคราะห์ทางเทคนิค
การวิเคราะห์ทางเทคนิคคือการคาดการณ์ของราคาในอนาคตของตราสารทางการเงินโดยการตรวจสอบการเคลื่อนไหวของราคาในอดีตและปริมาณข้อมูล ในความเป็นจริงแล้ววิธีนี้เป็นแค่การศึกษาอุปสงค์และอุปทานในตลาดเพื่อที่จะกำหนดทิศทางที่ของตลาดในอนาคตประโยชน์อย่างหนึ่งของการวิเคราะห์ทางเทคนิคคือว่าการวิเคราะห์นี้สามารถใช้กับตราสารทางการเงินเกือบทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็น หุ้น ฟิวเจอร์ส หรือ Forex
แนวคิดพื้นฐาน
ถึงแม้ว่าความคิดที่อยู่เบื้องหลังการวิเคราะห์ทางเทคนิคมีอยู่มานานหลายศตวรรษแล้ว แต่เป็นเพราะ ผลงานการเขียนของ ชาร์ลส์ ดาวน์ (Charles Dow) ในตอนท้ายของศตวรรษที่ 19ที่เป็นแรงบันดาลใจให้กับการวิเคราะห์ทางเทคนิคในสมัยใหม่ สามแนวคิดพื้นฐานที่จะได้รับอิทธิพลจากทฤษฎีของเขา:
- ราคา คือบทสรุปของทุกอย่าง (Price Discounts Everything)การ วิเคราะห์ทางเทคนิคสันนิษฐานว่า ในเวลาใดก็ตาม ราคาของตราสารทางการเงินสะท้อนให้เห็นถึงความรู้และข้อมูลต่างๆของผู้ที่ เข้าร่วมเทรดในตลาดทั้งหมด รวมถึงนักเทรด นักลงทุน นักวิเคราะห์และผู้จัดการพอร์ตโฟลิโอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบันนี้ อินเทอร์เน็ตและการเพิ่มความเร็วในการเทรด เมื่อข้อมูลต่างๆเผยแพร่ออกมา มีจะทำให้มีผลรวดเร็วต่อราคาของตราสารทางการเงิน
- การเคลื่อนไหวของราคาเป็นไปตามแนวโน้ม (Price Moves in Trends)การวิเคราะห์ทางเทคนิค ราคาจะเคลื่อนไหวไปตามแนวโน้ม ในช่วงที่แนวโน้มกำลังเกิดขึ้น ราคาในอนาคตมักจะเป็นไปตามทิศทางเดียวกันกับแนวโน้มมากกว่าที่จะต่อต้าน แนวโน้มมี 3 ประเภท : ขาขึ้น (Bullish) ขาลง (Downwards) และไซด์เวย์ (Sideways)
- ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเดิม(History
Tends to Repeat Itself)ทฤษฎีนี้เป็นรากฐานที่สำคัญของการวิเคราะห์ทางเทคนิค
เมื่อพูดถึงการเคลื่อนไหวของราคาแล้ว ประวัติศาสตร์มักจะซ้ำรอย
ตามหลักจิตวิทยาในเรื่องของธรรมชาติของตลาดแล้ว
จะเป็นไปได้ว่าการคาดการณ์การเคลื่อนไหวของราคาในอนาคตนั้นได้มาจากข้อมูลหรือสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกันในอดีต
การกำหนดแนวโน้ม (trend)
แนวโน้ม(trend) มีความสำคัญมากในการวิเคราะห์ทางเทคนิค แนวโน้ม คือ การติดตามทิศทางทั่วไปของราคาตราสารทางการเงิน
ความหมายอย่างเป็นทางการของ แนวโน้ม
เมื่อ แนวโน้มปรากฏขึ้นไม่ชัดเจนนัก เราจะต้องมีระบุรายละเอียดเพิ่มขึ้น ราคาจะไม่เคลื่อนที่เป็นเส้นตรง แต่ไม่เคลื่อนที่สูงขึ้น และจะล่วงต่ำลง
ความหมายของแต่ละแนวโน้ม มีดังต่อไปนี้:
ขาขึ้น (Bullish) เป็นรูปแบบของกราฟที่ทำจุดสูงสุดใหม่ สูงขึ้นเรื่อยๆ (higher highs) และ กราฟทำจุดต่ำสุดสูงขึ้นเรื่อยๆ(higher lows)
(รูปที่ 3.1)จากรูปด้านบน จุดที่ 2 และ 4 เป็นจุดที่สูงขึ้น ในขณะที่ จุด 3 และ 5 เป็นจุดที่ต่ำลงรูปด้านล่างเป็นตัวอย่างของ แนวโน้มขาขึ้นของ EURUSD โปรดสังเกตว่าเส้นแนวนอนหมายถึงจุดที่สูงของราคา
(รูปที่ 3.2)
ขาลง (Bearish) เป็นรูปแบบของกราฟทื่ทำจุดสูงสุดใหม่ต่ำลงเรื่อยๆ (lower highs)และ กราฟทำจุดต่ำสุดใหม่ ต่ำลงเรื่อยๆ (Lower lows)
(รูปที่ 3.3)จากรูปด้านบน จุดที่ 2 และ 4 เป็นจุดที่ต่ำลง ในขณะที่จุด 3 และ 5 เป็นจุดที่สูงขึ้นจากรูปด้านล่างเป็นตัวอย่างของแนวโน้มขาลงของ EURUSD โปรดสังเกตว่าเส้นแนวนอนหมายถึงจุดที่ต่ำของราคา
(รูปที่ 3.4)
ไซด์เวย์ (Sideways) เป็น กราฟที่ไม่มีความต่อเนื่องของกราฟที่ทำจุดสูงสุดใหม่ สูงขึ้นเรื่อยๆ (higher highs) หรือ กราฟทำจุดต่ำสุดสูงขึ้นเรื่อยๆ(higher lows)
“แนวโน้ม คือ เพี่อนของคุณ” (A Trend is Your Friend)
“แนว โน้ม คือ เพี่อนของคุณ” เป็นคำกล่าวที่ใช้ในกลุ่มนักเทรด เมื่อคุณสังเกตเห็นว่าราคาเริ่มเคลื่อนที่ไปในทิศทางหนึ่ง คุณสามารถเทรดในทิศทางตามแนวโน้ม และจะสามารถทำกำไรได้ตราบที่แนวโน้มยังคงอยู่ นักเทรดประเภทนี้ เรียกว่า นักเทรดตามแนวโน้ม (Trend Traders)ในรูปที่3.1 และ 3.3 หมายถึง การสั่งค่ำสั่ง ซื้อ และ ขายจาก จุดที่ 1จนถึง จุดที่ 6ตามลำดับ
นัก เทรดบางคนเทรดตรงกันข้าม โดยมองหาจุดเบรคเล็กๆของแนวโน้ม ถ้าเป็นแนวโน้มขาขึ้นนักเทรดหาจุดเบรคและสั่งคำสั่งขายในระยะสั้น นักเทรดประเภทนี้ เรียกว่า นักเทรดต้านแนวโน้ม(Counter Trend Traders)
ในรูปที่ 3.1 และ3.3 หมายถึงการเทรดต้านแนวโน้ม ที่จุดที่2ถึง3 และ4ถึง5
เส้นแนวโน้ม (Trendlines)
นอก เหนือจาก จุดสูงและจุดต่ำแล้ว คุณยังสามารถลาก เส้นแนวโน้ม เพื่อแสดงแนวโน้มของกราฟ เมื่อคุณวาดเส้นแนวโน้ม คุณจะลากเส้นต่อเนื่องของจุดสูง หรือต่ำด้านล่างเป็นตัวอย่างของ เส้นแนวโน้ม ขาขึ้น
และนี่เป็นตัวอย่างของ เส้นแนวโน้มขาลง
ระดับของแนวรับ และ แนวต้าน (Support and Resistance Level)
ในบทเรียนก่อนหน้า คุณจะเห็นเส้นแนวนอนแสดงถึงจุดสูงสุด และต่ำสุด ซึ่งเส้นนี้แสดงเป็นระดับของแนวรับและแนวต้าน:- ระดับของแนวต้าน จะอยู่เหนือราคาปัจจุบัน โดยทั่วไปแล้วจะหมายความว่า ตลาดมีความยากลำบากที่จะเคลื่อนที่เหนือราคาช่วงนี้ ผลลัพธ์ก็คือ ราคาจะตกลงในระยะสั้น
- ระดับของแนวรับ จะอยู่ต่ำกว่าราคาปัจจุบัน
โดยทั่วไปแล้วจะหมายความว่าตลาดมีความยากลำบากที่จะเคลื่อนที่ต่ำกว่าราคาช่วงนี้
ผลลัพธ์ก็คือ ราคาจะสูงขึ้นในระยะสั้น
ดังนั้น ระดับของแนวรับ แนวต้านจะช่วยให้คุณเห็นจุดพลิกผันว่าจะเกิดขึ้นตอนไหน และจะเป็นประโยชน์ให้คุณสามารถทำกำไรได้
หมายเหตุ: เมื่อระดับผ่านทะลุระดับแนวต้าน แล้วมันจะกลายเป็นระดับของแนวรับแทน และในทำนองเดียวกัน เมื่อระดับผ่านทะลุระกับแนวรับ แล้วมันจะกลายเป็นระดับแนวต้านแทน
กราฟช่วยให้นักเทรดระบุระดับของแนวรับและแนวต้านได้ง่ายขึ้น แต่ยังต้องใช้ทักษะบางอย่างเพื่อหาความน่าจะเป็นไปได้ของจุดที่ราคาจะกลับตัว นี้เป็นปัจจัยที่มีผลต่อระดับแนวรับ แนวต้าน:
- จำนวนครั้งที่แตะวิธีที่ง่ายที่สุดที่ทำให้เราเห็นระดับของแนวรับ
และแนวต้านคือ นับจำนวนครั้งที่ราคาแตะเส้นและกลับตัวที่ราคาระดับนั้นๆ
ถ้าจำนวนการแตะและการกลับตัวมากครั้ง
จะแสดงให้เห็นว่านักเทรดส่วนใหญ่กำลังจ้องมองที่จะหาโอกาสซื้อและขายที่ระดับเดียวกัน
- การตอบสนองต่อระดับการที่เราสังเกตเห็นถึงการตอบสนองของราคาในระดับนั้นๆ อาจให้เบาะแสเกี่ยวกับแนวรับ แนวต้าน การพลิกผันของกราฟเมื่อตลาดแตะถึงราคานั้นๆ จะหมายความว่า ผู้ซื้อและผู้ขายให้ความสำคัญกับจุดๆนั้นเป็นพิเศษ
- ปริมาณการซื้อขายที่ระดับหนึ่งการกระโดดของจำนวนการซื้อขายที่ถูกส่งคำสั่งทุกครั้งที่ตลาดถึงราคาหนึ่งๆบ่งบอกถึงความหนาแน่นที่เพิ่มขึ้นของผู้ซื้อและผู้ขาย
- อายุของระดับระดับที่เกิดขึ้นใหม่มีค่ามากกว่าระดับที่เกิดขึ้นมาก่อน
เนื่องจาก
ตลาดมีความทรงจำที่สั้นและความเกี่ยวข้องของระดับราคาก็ค่อยซาลงไปตามเวลา
รูปแบบกราฟ (Chart Patterns)
รูปแบบกราฟมีความสำคัญเป็นอย่างมากต่อการวิเคราะห์ทางเทคนิค การก่อตัวของราคามีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นซ้ำซึ่งนักเทรดสามารถใช้ให้เกิดประโยชน์ได้
รูปแบบมีทั้งหมด 2 ประเภท คือ - รูปแบบกราฟที่บอกถึงการเปลี่ยนทิศทางใหม่ (Reversal chart) ส่งสัญญาณว่าแนวโน้มดั้งเดิมจะมีการเปลี่ยนทิศทางเมื่อการสร้างราคาเสร็จสิ้นลง ตัวอย่างของรูปแบบการเปลี่ยนทิศทางใหม่ ได้แก่
- รูปแบบหัวกับไหล่(Head and Shoulders)
/ รูปแบบหัวกับไหล่แบบกลับด้าน
(Inverse Head and Shoulders)
- รูปแบบสองหัวที่จุดยอด
(Double Top)
/รูปแบบสองหัวที่จุดต่ำ (Double
Bottom)
- รูปแบบกราฟที่บอกถึงทิศทางต่อเนื่อง (Continuation chart)
ส่งสัญญาณว่าแนวโน้มดั้งเดิมยังคงดำเนินต่อเนื่องเมื่อการสร้างราคาเสร็จสิ้นลง
ตัวอย่างของรูปแบบทิศทางต่อเนื่อง ได้แก่ - รูป
แบบสามเหลี่ยมที่สมดุล (Symmetrical Triangle) / รูปแบบสามเหลี่ยมขาขึ้น
(Ascending Triangle) / รูปแบบสามเหลี่ยมขาลง (Descending Triangle)
รูปแบบแท่งเทียน (Candlestick Patterns)
รูปแบบกราฟทำให้คุณเห็นลาดเลาว่าตลาดจะดำเนินไปในทิศทางใดด้วยการวิเคราะห์การก่อตัวของรูปแบบแท่งเทียน รูปแบบแท่งเทียนมีประโยชน์อย่างมาก เนื่องจากสามารถให้ข้อมูลที่มองเห็นได้เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของราคาตัวอย่างเช่น แท่งเทียนที่ไม่มีหางหรือไส้เทียน เป็นสัญลักษณ์ของความมั่นใจของผู้ซื้อหรือผู้ขาย แท่งเทียนนี้เรียกว่า marubozo ถ้าเป็นแท่งเทียนสภาวะกระทิงแบบไม่มีหาง หมายความว่า นักเทรดมีแรงซื้อเครื่องมือทางการเงินเข้ามาสูง
ในทางตรงกันข้าม ถ้าแท่งเทียนมีหางยาวแต่ไม่มีตัวเทียน เป็นสัญลักษณ์ของความไม่แน่ใจหรือความลังเล แท่งเทียนนี้เรียกว่า doji ซึ่งมักจะตามมาด้วยการเปลี่ยนแปลงในทิศทางของราคา
ดัชนีชี้วัด (Indicators)
เหมือนกับด้านอื่นของการวิเคราะห์ทางเทคนิค ดัชนีชี้วัดใช้การคำนวณทางคณิตศาสตร์ด้วยข้อมูลทางด้านราคาและปริมาณเพื่อคาดการณ์การเคลื่อนไหวของราคาในอนาคต ดัชนี้ชี้วัดเหล่านี้ถูกแสดงบนกราฟดัชนี้ชี้วัดมี 2 ประเภท ได้แก่
- ดัชนีชี้วัดนำ (Leading indicators) – โดยมากถูกเรียกว่า ดัชนีการแกว่งตัว (oscillators) ซึ่งส่งสัญญาณการซื้อขายก่อนที่แนวโน้มหรือการเปลี่ยนทิศทางจะเกิดขึ้น ใช้ได้ดีที่สุดกับตลาดไซด์เวย์ (sideways)
- ดัชนีชี้วัดตาม (Lagging indicators) – โดยมากถูกเรียกว่าดัชนีตามเทรนด์หรือดัชนีโมเมนตัม (trend-following or momentum indicators) ซึ่งส่งสัญญาณการซื้อขายหลังจากแนวโน้มได้เกิดขึ้นแล้ว ใช้ได้ดีที่สุดเมื่อแนวโน้มเริ่มเกิดขึ้นเพื่อเป็นการยืนยันการซื้อขายของคุณ
ตัวอย่างดัชนีชี้วัดนำ: ดัชนีกำลังสัมพัทธ์(Relative Strength Index)
ดัชนีชี้วัดนำที่ถูกใช้อย่างแพร่หลายก็คือ ดัชนีกำลังสัมพัทธ์ (Relative Strength Index หรือ RSI) ในกราฟถูกพลอตตั้งแต่0 ถึง100 ตัวเลขที่เพิ่มขึ้น หมายถึง เครื่องมือทางการเงินเข้าข่ายซื้อมากเกินไป (overbought) และถึงเวลาขาย ขณะที่จำตัวเลขที่ต่ำลง หมายถึง เครื่องมือทางการเงินเข้าข่ายขายมากเกินไป (oversold) และถึงเวลาซื้อนักวิเคราะห์ทางเทคนิคหาเขตการแยกออกจากกัน (divergence) ระหว่างดัชนีกำลังสัมพัทธ์และราคาจริง สมมติว่าดัชนีกำลังสัมพัทธ์เคลื่อนสูงขึ้นในขณะที่เครื่องมือทางด้านราคาเคลื่อนต่ำลง สำหรับนักเทรดหมายถึงแรงขายกำลังจะหมดไปและการกลับตัวจะเกิดขึ้นเร็วๆนี้
ตัวอย่างดัชนีชี้วัดตาม: เส้นค่าเฉลี่ย (Moving Averages)
ดัชนีชี้วัดตามซึ่งเป็นที่นิยมที่สุดก็คือ เส้นค่าเฉลี่ย (Moving Averages) ตัวชี้วัดประเภทนี้ใช้ค่าเฉลี่ยของราคาปิดของรอบระยะเวลาที่ถูกกำหนดเพื่อให้เห็นการเคลื่อนที่ของราคาของเครื่องมือทางการเงิน มีตัวแปรมากมายที่ใช้ในเส้นค่าเฉลี่ย โดยใช้แนวทางเดียวกันถ้าใช้ร่วมกับเส้นค่าเฉลี่ยอีกเส้นหนึ่ง ตัวชี้วัดนี้จะมีประโยชน์ในการระบุแนวโน้มต่างๆ
ตัวอย่างเช่น คุณสามารถกำหนดเส้นค่าเฉลี่ยระยะยาวอย่าง 100 วัน กับเส้นค่าเฉลี่ยระยะสั้นกว่าอย่าง 50 วัน
- เมื่อเส้นค่าเฉลี่ยระยะสั้น ตัดขึ้นเหนือเส้นค่าเฉลี่ยระยะยาว จะเป็นจุดที่เกิดสัญญาณของตลาดกระทิง และสัญญาณซื้อ (Buy)
- เมื่อเส้นค่าเฉลี่ยระยะสั้น ตัดลงต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ยระยะยาว จะเป็นจุดที่เกิดสัญญาณและสัญญาณขาย (Sell)
บทสรุป
ในที่สุดเราก็มาถึงตอนจบของบทเรียน ตลอดบทเรียนเราได้แสดงให้เห็นว่านักวิเคราะห์ทางเทคนิคใช้ข้อมูลด้านราคาและ ปริมาณในอดีตมาคาดการณ์การเคลื่อนไหวของราคาในอนาคตได้อย่างไร
บทความที่น่าสนใจ
การวิเคราะห์ทางเทคนิค เเละ การหาจังหวะเข้าทำกำไร
รูปแบบของกราฟ การเคลื่อนไหวของกราฟราคารูปร่างแปลกๆ ที่น่าสนใจครับ
รูปแบบของกราฟ การเคลื่อนไหวของกราฟราคารูปร่างแปลกๆ ที่น่าสนใจครับ
ร้านค้าออนไลน์แลกลิงค์โฉนดโปรทำนายเบอร์โทรศัพท์ฟรี!
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น